รู้เรื่องประวัติศาสตร์ก่อนไปเที่ยวญี่ปุ่น

             ก่อนที่จะไปเที่ยวญี่ปุ่นการได้รู้ประวัติศาสตร์ของประเทศนี้เอาไว้ก่อนบ้างสักเล็กน้อยก็น่าจะทำให้การไปเที่ยวนั้นสนุกมากขึ้นครับ แต่คงไม่ต้องถึงขนาดว่าลงรายละเอียดไปแบบลึกซึ้งมากนักเอาแบบคร่าวๆก็พอ ยกเว้นแต่คนไหนที่สนใจจริงๆอันนั้นก็ไม่ว่ากันครับ

           สาเหตุที่บอกว่าควรจะต้องรู้ไว้บ้างนั่นก็เพราะว่าสถานที่ท่องเที่ยวญี่ปุ่นหลายแห่งๆที่ได้รับความนิยมก็เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หากมีความรู้ติดตัวไปด้สวยก็จะทำให้เข้าใจและซึมซับกับเรื่องราวต่างๆได้ดีขึ้นนั่นเองครับ 

           ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีความเก่าแก่พอสมควร ตามบันทึกพบว่ามีมนุษย์อาศัยอยู่บนแผ่นดินในบริเวณนี้มาตั้งแต่แสนปีที่แล้ว เพื่อไม่ให้งงเราลองมาดู ช่วงต่างๆของดินแดนอาทิตย์อุทัยแห่งนี้กันดีกว่า แต่คงไม่ไปถึงยุคโบราณมากๆหรือยุคหินนะครับมาเริ่มกันในช่วงที่เริ่มมีเรื่องราวน่าสนใจกันดีกว่า

– 2700-2800 ปี ก่อนในช่วงนั้นมีการสร้างประเทศขึ้นมา มีเมือง นารา(Nara) เป็นเมืองหลวง รูปแบบการปกครองก็คือมีกษัตริย์(ให้คุ้นชินหน่อยก็คือสมเด็จพระจักพรรดิ์นั่นเอง)  โดยรูปแบบการปกครองก็ดูเหมือนว่าจะยึดแบบมาจากประเทศจีนซึ่งถือเป็นพี่ใหญ่ในดินแดนแถบนี้มานานมาก แต่ภายหลังจากนั้นก็เป็นเรื่องธรรมดาของคนที่อยากมีอำนาจขุนนางมีกำลังทหาก มีอิทธิพลในเขตปกครองของตนเองแล้วเกิดนึกอยากจะเป็นใหญ่ขึ้นมาบ้าง เลยเกิดการสู้รบกันบ่อยครั้ง ก็มีการก่อตั้งรัฐๆนึงขึ้นมา โดยยึดเอาเมืองนาราเป็นเมืองหลวง เมืองนารานี้ก็เอารูปแบบมาจากประเทศจีน ที่ตอนนั้นจีนก็เจริญกว่าญี่ปุ่นมากมายครับ หลังจากนั้นสักพัก ก็มีการรบกัน ทะเลาะกันของกลุ่มอำนาจต่างๆอยู่บ่อยครั้ง และเพื่อหนีจากความวุ่นวายสมเด็จพระจักพรรดิ์เลยทรงทำการย้ายเมืองหลวงออกมาอยู่ที่เกียวโต(Kyoto) ซะเลย หลายคนอาจสงสัยว่าทำไมถึงไม่ทรงห้ามนั่นก็คงจะเป็นเพราะว่าไม่ดีมีอำนาจแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดการขัดแย้งกับกลุ่มอิทธิพลต่างๆที่มีทหารของตัวเองก็อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในราชบัลลังก์ได้

Minamoto Yoritomo
Minamoto Yoritomo

– กำเนิด “โชกุน” ภายหลังจากที่สมเด็จพระจักพรรดิ์ย้ายมาที่เกียวโตแล้ว ความวุ่นวายก็ไม่ได้สงบลงตามไปด้วย และเวลานั้นเองก็มีขุนนางที่ชื่อว่า Minamoto  Yoritomo  ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในเวลานั้นก็ประกาศรวบอำนวจเอาไว้เองเลยเหนือกลุ่มต่างๆ แต่ไม่ได้ไปล้มล้างสถาบันกษัตริย์ครับ พระจักพรรดิ์ยังมีเหมือนเดิมแต่ก็มีแต่ตำแหน่งไม่มีอำนาจ Minamoto ระกาศตัวเองเป็น “โชกุน” ที่มีอำนาจในการปกครองแบบแทบจะสมบูรณ์แบบ  และก็เป็นยุคที่มีเรื่องราวของซามูไรแบบขัดเจนที่สุดก็ว่าได้ในฐานะมือสังหาร องครักษ์แล้วแต่จะเรียก รวมทั้งไดเมียวที่คล้ายๆกับผู้ว่าราชการจังหวัดซึ่งมีอำนาจรองลงมาจากโชกุน (ปราสาทใหญ่ๆหลายแห่งก็ไดเมียวนี่ละครับสร้างหรือไม่ก็โชกุนมอบให้หากว่าเป็นคนโปรดหรอคนสนิท) ซึ่งพวกนี้ส่วนใหญ่ก็เหมือนเดิมคือคอยจ้องจะแย่งอำนวจแย่งพื้นที่กันเอง แต่ส่วนใหญ่ก็จะทำอะไรไม่ได้มากนักเพราะโชกุนต่างกับพระจักพรรดิที่อ่อนแอเกินไป จึงกำราบให้พวกไดเมียวนิ่งสงบลงไปได้ไม่ลุกลามใหญ่โตขึ้นมา จนมาถึงประมาณปี ค.ศ. 1600 ความเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาตร์ก็เริ่มอีกครั้ง

 

Tokugawa Ieyasu
Tokugawa Ieyasu

 

– ยุค Tokugawa Ieyasu คือเมื่อปี  ค.ศ. 1603 เกิดขึ้นภายหลังจากที่โชกุนคนเดิมซึ่งชื่อว่า “Toyotomi Hideyoshi”  ถูกแข็งข้อขึ้นมาโดย Tokugawa Ieyasu เป็นเหตุให้ต้องสูญเสียอำนาจในฐานะโชกุนไป  ซึ่งก็เป็นช่วงญี่ปุ่นเข้าสู่ยุคเอโดะ(Edo) โดยเอาเมือง Edo หรือโตเกียวนี่เองมาเป็นศูนย์บัญชาการหรือเมืองหลวง พลาดท่าเสียทีให้กับกลุ่ม Tokugawa ดังนั้นกลุ่ม Tokugawa จึงขึ้นครองอำนาจแทน และยุคเอโดะนี่เองที่น่าจะพอพูดได้ว่าสร้างรากฐานให้ญี่ปุ่นมาจนถึงทุกวันนี้ด้วยการใช้นโยบาย”ปิดประเทศ” ในช่วงเวลานี้บรรดาขุนนางต่างๆ ซามูไร พ่อค้า ประชาชน ก็มาตั้งรกรากที่นี่กันเป็นจำนวนมาก โดยช่วงเวลาในการปิดประเทศของ Tokugawa Ieyasu เริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1603 – 1868  คือเรื่อยมาจนรุ่นเหลนรุ่นโหลนของตระกูลนั่นเองครับ นโยบายนี้ก็ไม่มีอะไรซับซ้อนแค่คนในห้ามออกคนนอกห้ามเข้าเท่านั้นเอง ซึ่งช่วงเวลาที่ปิดประเทศนี้ก็ทำให้ญี่ปุ่นพัฒนาเอกลักษณ์ของตนเองขึ้นมา ระยะเวลา 2 ร้อยกว่าปีนี้ ก็เป็นช่วงที่สามารถสร้างวัฒนธรรม งานศิลปะ หรือสิ่งต่างๆที่เป็นรูปแบบของตนเองขึ้นมาได้จำนวนมาก โดยไม่ได้ผ่านการรับมาจากอารยธรรมอื่นๆใด  จะว่านี่เป็นข้อดีของการปิดประเทศก็พูดได้เหมือนกันครับ แต่อะไรๆก็ไม่แน่นอนแล้ววันหนึ่งญี่ปุ่นก็เข้าสู่ช่วงสำคัญของการปกครองอีกครั้ง

– หลังจากที่ญี่ปุ่นอยู่ภายใต้การปกครองผู้ปกครองในตำแหน่งโชกุนมาเป็นเวลาวยาวนานเหลือเกิน จนมาถึงยุคของโชกุน Tokugawa Yoshinobu  นี่คือเวลาที่ชาติตะวันตกรวมทั้งอเมริกาที่ก็เป็นชาติที่เพิ่งเกิดขึ้นมาใหม่ เริ่มามาวนเวียนแสดงแสนยานุภาพในประเทศแถบเอเชีย ซึ่งญี่ปุ่นเองก็ไม่รอดเช่นกัน โดยกองทัพของอเมริกาที่มาเที่ยวญี่ปุ่นกันด้วยเรือรบขนาดใหญ่และทหารจำนวนมาก พร้อมกับอาวุธที่ทันสมัยกว่า มาลอยลำเล่นในน่านน้ำของประเทศพร้อมกับบอกว่าเปิดประเทศเถอะอยากเข้าไปเต็มที่แล้ว พอรู้แบบนี้ Tokugawa  Yoshinobu ก็จนปัญญาจะรบก็สู้ไม่ได้แน่เลยต้องหาที่พึ่งด้วยการไปกราบทูลปรึกษาสมเด็จพระจักรพรรดิ์ว่าจะเอาอย่างไรดี คับขันเสียแล้ว ผู้ที่มีตำแหน่งแต่ไม่มีอำนาจจริงมาหลายร้อยปีก็บอกกับโชกุนไปว่าก็รบแล้วไล่ออกไป พอได้คำแนะนำแบบนี้ Tokugawa  Yoshinobu ก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจำใจทำสัญญาว่าจะเปิดประเทศให้ก็ได้ โดยเกิดขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1868  เป็นอันว่านโยบายของ  Ieyasu ก็จบลงแต่เพียงเท่านี้ แต่นี่ก็ยังจบมีเรื่องซวยกว่านั้นอีก สำหรับโชกุน Yoshinobu เพราะต่อมา ขุนนางบางส่วนมีความคิดว่าขืนปล่อยให้โชกุนมีอำนาจต่อไปมีหวังคงบรรลัยกันหมดแน่ จึงมีแนวคิดที่ว่าจะล้มล้างการปกครองในระบอบ “โชกุน” แล้วคืนอำนาจไปให้กับสมเด็จพระจักพรรดิอีกครั้ง จึงได้เกิดสงครามภายในขึ้นมาชื่อว่า “Boshin War” ผลสุดท้ายฝ่ายโชกุนก็พ่ายแพ้ ซึ่งก็เป็นจุดสิ้นสุดอย่างถาวรสำหรับตำแหน่งโชกุนไปเลยตลอดกาล แต่ผลกระทบจากการรบในครั้งนั้นก็ทำให้สถานที่ต่างๆอย่างเช่น ปราสาทหลายแห่งก็ถูกทำลายจนเสียหายไปด้วย

–  ยุคเมจิ (Meiji) การกลับมาของพระจักรพรรดิ์   เมื่อโชกุนหมดอำนาจไปแล้วอำนาจในการปกครองประเทศก็คืนกลับมาสู่มือของพระจักรพรรดิ์อีกครั้งหนึ่งแล้วก็ทรงเปลี่ยนชื่อเมืองหลวงจากเดิมคือ Edo ให้มาเป็น Tokyo ผลจากสนธิสัญญาการเปิดประเทศก็ทำให้ญี่ปุ่นมีการรับเอาการพัฒนาทางด้านอุตสาหรกรรมการค้า ต่างๆเข้ามามากมีชาวตะวันตกมาตั้งรกรากอยู่ตามเมืองท่าสำคัญของญี่ปุ่น บ้านหลายหลังในแถบนั้นจึงออกไปในแนวยุโรปมากกว่าเป็นญี่ปุ่นและกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวอย่างในทุกวันนี้

–  แต่ว่าพอมาถึงปี 1868  ภายหลังการเปิดประเทศไม่รู้อะไรดลใจให้ญี่ปุ่นเกิดอยากจะครองโลกด้วยการก่อสงครามโลกครั้งที่ 2 ขึ้นมา ด้วยการส่งทหารไปในหลายชาติในเอเชียรวมทั้งไทยเราด้วย ซึ่งเมื่อนับเวลาแล้วก็เพียงแค่ 72 ปีเท่านั้น ซึ่งหลายชาติก็สู้ญี่ปุ่นไม่ได้จำต้องให้กลายเป็นทางผ่านไม่ก็เป็นศูนย์บัญชาการทางทหารไป  แต่การเดินหมากที่ผิดหลาดทางการทหารด้วยการส่งเครื่องบินรบไปถล่ม ฐานทัพเรือของสหรัฐอเมริกาที่ Pearl Habour จนเสียหายอย่างหนัก ทำให้อเมริกาที่ตอนนั้นยงไม่ได้เข้าร่วมสงครมโลกโกรธแค้นอย่างหนักเลยส่งกองทัพมาปราบความเหิมเกริมของกองทัพญี่ปุ่น ด้วยการส่งระเบิดนิวเคลียร์มาลงที่ Hiroshima กับ Nagasaki ซึ่งเจ้าระเบิดนี่มันไม่เคยถูกใช้ที่สงครามไหนมาก่อนญี่ปุ่นเป็นที่แรกและความเสียหายจากชีวิตและทรัพย์สินซึ่งสูญเสียอย่างหนักญี่ปุ่นก็ไม่มีทางเลือกนอกจากประกาศยอมแพ้ในปี ค.ศ.1945

– ภายหลังจากการยอมแพ้แล้วก็ไม่ได้จบแค่นั้นผลกระทบจากนิวเคลียร์ทำให้ญี่ปุ่นต้องมาเริ่มฟื้นฟูประเทศกันใหม่ บ้านเรือนเสียหายจนราบเป็นหน้ากลองในระยะเวลาแค่ไม่กี่นาทีที่ระเบิดลง ประชานชนที่รอดตายหลายคนก็ได้รับผลกระทบจากรังสีทำให้ป่วยหรือเกิดความผิดปกติทางร่างกายมาอีกยาวนาน  อีกทั้งก็ยังต้องใช้หนี้ค่าปฏิกรรมสงคราม(หรือค่าเสียหายที่ไปทำไว้กับชาวบ้านครับ)ให้กับหลายชาติรวมทั้งไทยด้วย แต่หลังจากนั้นด้วยอุปนิสัยที่มีฉลาด มีวินัยและความอดทนสูง จากประเทศที่เสียหายจากสงครามก็มีการพัฒนาประเทศอย่างรวดเร็วโดยเฉพาะทางด้านเศรษฐกิจและเทคโนโลยี จนกระทั่งมาเป็นญี่ปุ่นอย่างเช่นที่เราได้เห็นกันอย่างทุกวันนี้นั่นเองครับ

ราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบัน
ราชวงศ์ญี่ปุ่นในปัจจุบัน

               

           และนี่ก็คือเกร็ดเล็กๆน้อยๆทางประวัติศาสตร์ที่เอามาฝากกันสำหรับคนที่สนใจเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่นหรือคนที่กำลังอยากไปเที่ยวญี่ปุ่น อาจมีตกหล่นหรือหากมีข้อผิกพลาดประการใดก็ต้องขออภัยด้วยครับ แล้วอย่าลืมพบกันใหม่ได้เรื่อยๆกับเรื่องราวต่างๆของประเทศญี่ปุ่นกับ besttraveljapan.com ครับ

Facebook Comments Box

Related Articles